สิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง
ในชั้นสอบสวน
สิทธิของบุคคลที่จะไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๓๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โดยหลักกการคุ้มครองพยานบุคคลที่จะไม่ให้ถ้อยคำที่ทำให้ตนเองถูกฟ้องคดีอาญา
อันเป็นหลักกฎหมายที่นำมาใช้ทั้งในการให้การของบุคคลในชั้นศาลและในกรณีบุคคลที่มาให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานในชั้นสอบสวนตามมาตรา
๑๓๓ วรรคสองด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับหลักที่ว่าบุคคลมีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง
ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๐(๔๐)
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ควรแก่การพิจารณาว่า
หลักที่ให้สิทธิบุคคลที่จะไม่ตอบคำถามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวเขาเองนั้น
เห็นกันว่าต้องแยกออกจากสิทธิที่จะนิ่งเฉย(Right to Remain Silent) ไม่ให้การใดๆที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่มีการกล่าวหาในคดีนั้นเลย
ซึ่งเป็นสิทธิที่กฎหมายให้ความคุ้มครองแก่เฉพาะผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา
ไม่รวมถึงบุคคลอื่นๆที่จะใช้สิทธิในลักษณะเด็ดขาดดังกล่าว ดังนั้น
บุคคลทั่วไปที่ยังไม่ตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย
หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับเอกสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามใดๆคงมีสิทธิเพียงไม่ต้องตอบคำถามที่อาจทำให้ตนถูกฟ้องเป็นคดีอาญาเท่านั้น
จะถึงกับปฏิเสธที่จะตอบคำถามใดๆเลยไม่ได้
ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งให้ความสำคัญกับหลักความยุติธรรมนี้เป็นอย่างมาก
ถึงกับจัดว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่สำคัญประการหนึ่ง
จึงมีการนำมาบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาในบทแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5
(fifth Amendment) ซึ่งในระบบกฎหมายอเมริกันเรียกว่า
เอกสิทธิ์ที่จะไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง (Privilege against
self-incrimination ) โดยหลักการทั่วไปสิทธิประการนี้มุ่งที่จะไม่ให้มีการใช้อำนาจสอบสวนของเจ้าพนักงานไปในทางละเมิดสิทธิของของบุคคลที่จะไม่ต้องตอบคำถามหรือให้หลักฐานใดๆที่อาจทำให้เขาถูกฟ้องได้รับโทษหรือถูกยึดทรัพย์
และเพื่อคุ้มครองสิทธิดังกล่าวได้อย่างมั่นคงการที่บุคคลที่ถูกสอบปากคำจะต้องมีโอกาสปรึกษาทนายความหรือได้มีการแจ้งเตือนให้ทราบถึงผลร้ายที่จะมีต่อเขาในการดำเนินคดีอาญาและสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำใดๆอันเป็นหลักกฎหมายที่มาจากคำพิพากษาของศาลสูงสหรัฐอเมริกาในคดีมิแรนดา
(Miranda v. Arizona) และมีผลอย่างยิ่งต่อการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา
อนึ่ง
สิทธิที่จะไม่ตอบคำถามที่อาจทำให้พยานถูกฟ้องคดีอาญาย่อมคุ้มครองเฉพะตัวบุคคลที่เป็นผู้ให้ถ้อยคำเท่านั้นทำให้มีข้อพิจารณาต่อไปว่าหากบุคคลจะอ้างสิทธิไม่ตอบคำถามแก่เจ้าพนักงานในการสอบสวนคดีอาญา
โดยอ้างผลกระทบอื่นนอกเหนือกรณีที่จะต้องถูกฟ้องคดีอาญาได้หรือไม่
โดยเฉพาะประเด็นที่จะเป็นผลร้ายแก่บุคคลในครอบครัว เช่น บุพการี คู่สมรส
หรือลูกหลานผู้สืบสันดาน
ในประเด็นนี้แม้ไม่มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความโดยเฉพาะแต่เนื่องจากบุคคลที่เจ้าพนักงานเรียกมาให้ถ้อยคำมีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมซึ่งเป็นหลักการทั่วไปที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้
บุคคลที่มาให้ถ้อยคำย่อมได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขา
ซึ่งรัฐธรรมนูญไทยได้ให้การรับรองไว้ในมาตรา ๔ มาตรา ๒๖
และมาตรา ๒๘ ดังนั้น นอกจากเจ้าพนักงานจะต้องไม่กระทำการในทางมิชอบต่อร่างการและจิตใจของบุคคลโดยตรง
ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ บังคับ หรือใช้วิธีการทรมาน เพื่อให้บุคคลนั้นให้ถ้อยคำแล้ว
ยังจะต้องคำนึงถึงผลกระทบในทางมโนธรรมที่บุคคลในสภาวะเช่นนั้นพึงได้รับการคุ้มครองอยู่ด้วย
ดังนั้น การที่บุคคลจะอ้างเหตุความสัมพันธ์ในครอบครัว เช่น
พยานมีความสัมพันธ์เป็นบุตรหรือคู่สมรส หรือเป็นบิดามารดาของผู้ต้องหา
บุคคลนั้นอาจอ้างเหตุที่จะไม่ตอบคำถามของเจ้าพนักงานซึ่งอาจเป็นผลร้ายต่อผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว
จึงสอดคล้องกับหลักการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในบริบทของสังคมไทย
การรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
กระบวนการยุติธรรมทางอาญา
เป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
ขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆในการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอาจมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในสังคม
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ดีมิใช่จะเพียงแต่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคมเท่านั้น
แต่ยังต้องมีมาตรการในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเช่น
ผู้ต้อง จำเลย ผู้เสียหาย พยานด้วย
ความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าบุคคลเกิดมาพร้อมกับศักดิ์และสิทธิในความเป็นมนุษย์อันมิอาจถูกลิดรอนได้และย่อมมีความชอบธรรมในสิทธิที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเสมอภาคและมีศักดิ์ศรี
การให้ความเคารพและคุ้มครองสิทธิสรีภาพของบุคคลเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้หลักนิติธรรมซึ่งหมายถึงการปกครองที่มีกฎหมายเป็นใหญ่
หลักดังกล่าวนี้รัฐเองก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน
ดังนั้นนอกเหนือจากรัฐจะมีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมแล้ว
รัฐยังมีหน้าที่ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามกฎหมายและภารกิจที่จะต้องให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกล่วงละเมิดโดยบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือโดยบุคคลหรือองค์กรของรัฐเอง
รัฐมีกระบวนการยุติธรรมเป็นกลไกหลักในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมขณะเดียวกันก็มีหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วย
ในการดำเนินภารกิจดังกล่าวได้อย่างมีคุณภาพจึงต้องเริ่มจากการที่กระบวนการยุติธรรมต้องไม่เป็นกระบวนการที่ไปคุกคามหรือล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเสียเอง
และด้วยเหตุที่รัฐมีหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการที่อาจกระต่อสิทธิของหลายฝ่ายทั้งผู้ต้องหา
จำเลย พยาน และผู้เสียหาย
ดังนั้น
กระบวนการยุติธรรมที่ดีจึงต้องสร้างหลักประกันที่เหมาะสมในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมิให้ถูกล่วงละเมิดโดยคำนึงถึงความสมดุลของหลักการควบคุมอาชญากรรม(
Crime Control) กับหลักนิติธรรม (Due Process) แนวคิดในเรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนดังกล่าวข้างต้นมีที่มาจากหลักนิติรัฐถือว่าการกระทำใดๆของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ที่ไปกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้
การกระทำใดๆของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายย่อมไม่อาจใช้ยันหรือกล่าวอ้างในกระบวนการยุติธรรมได้
แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะมีวัตถุประสงค์เพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษอันเป็นระโยชน์ของรัฐก็ตามแต่ก็มิได้หมายความว่าในการดำเนินการเพื่อค้นหาความจริงดังกล่าวรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะกระทำได้ทุกวิถีทางโดยไม่คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสังคม
ในบางประเทศมีบทลงโทษรัฐในกรณีที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
โดยพยานหลักฐานใดที่ได้มาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอันมิชอบด้วยกฎหมายนั้น
ศาลจะไม่รับฟังพยานหลักฐานดังกล่าว
ดังนั้นกระบวนการในการค้นหาความจริงในคดีอาญาจึงต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศด้วย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันก็ได้มีการวางหลักคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของบุคคลอันอาจถูกกระทบจากการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่รัฐ
ดังนี้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้บัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในชีวิต
ร่างกายในมาตรา ๓๒ ที่บัญญัติว่า
มาตรา ๓๒ “ บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
การทรมาน
ทารุณกรรม...ด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้...
การจับ และการคุมขังบุคคล
จะกระทำมิได้
เว้นแต่จะมีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ
การค้นตัวบุคคล
หรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรหนึ่ง จะกระทำมิได้
เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ ”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐
ได้บัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในเคหสถานตามมาตรา ๓๓
ที่บัญญัติว่า
มาตรา ๓๓ “ บุคคลย่อมมีสเรีภาพในเคหสถาน
บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองในการที่จะอยู่อาศัยและครอบครองเคหสถานโดยปกติสุข
การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครอง
หรือการตรวจค้นเคหสถานจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาล
หรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้บัญญัติหลักการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารไว้ดังนี้คือ
มาตรา ๓๕ บัญญัติว่า “ สิทธิของบุคคลในครอบครัว
เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัว ย่อมได้รับความคุ้มครอง...
บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน
ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ ”
มาตรา ๓๖ บัญญัติว่า “
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางที่ชอบด้วยกฎหมาย
การตรวจ การกัก
หรือการเปิดเผยสิ่งสื่อสารที่บุคคลมีติดต่อถึงกัน รวมทั้งการกระทำด้วยประการอื่นใด
เพื่อให้ล่วงรู้ถึงข้อความในสิ่งสื่อสารทั้งหลายที่บุคคลมีติดต่อกันจะกระทำมิได้
เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
”
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่สำคัญประการหนึ่งที่รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศได้ให้การรับรองและคุ้มครองไว้โดยผู้ใดจะมาล่วงละเมิดมิได้
หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ใช้วิธีการแสวงหาพยานหลักฐานด้วยวิธีการโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรรมนูญนี้
พยานหลักฐษนหรือสิ่งที่ได้มาจากการกระทำโดยมิชอบนั้นจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด
เหล่านี้เป็นสิ่งที่จะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น